บทที่ 6 โลกอีกฟาก (East Angelia)
ข่าวด่วนล่าสุด "ซอเรี่ยน" สร้างกองทัพจำนวนนับแสนเพื่อที่จะโจมตีทวีปทางใต้อีกครั้ง "ไรซ์ที่ 3" ผู้นำแห่งกองกำลังจักรวรรดิ ทราบข่าวจึงสั่งให้ "พลตรีเซอร์อเล็กซ์" จัดตั้งกองทัพเพื่อเตรียมต่อสู้กับกองทัพซอเรี่ยน "ผู้พันคาร์เตอร์" แห่งป้อมเดธวอลเล่ย์ รายงานว่ากองทัพของจักรวรรดิปัจจุบันมีกองกำลังเพียงสามหมื่น หากจะต้องต่อสู้กำลังกองทัพซอเรี่ยนนับแสน คงไม่ต้องคิดก็รู้ได้โดยง่ายดายว่าผลการต่อสู้จะเป็นเช่นไร ผู้พันคาร์เตอร์รับสมัครทหารเพิ่ม โดยมีข้อเสนอว่า "หากเข้าร่วมกับกองทัพของจักรวรรดิ ทางจักรวรรดิจะมีค่าตอบแทนให้" ประชาชนจำนวนหนึ่งสมัครเข้าเป็นทหาร แต่จำนวนก็ยังไม่เพียงพอที่จะต่อต้านกองทัพของซอเรี่ยนได้ "พลเอกแมทธิว" ทหารคนสนิทของไรซ์ที่ 3 เสนอให้ไปขอความช่วยเหลือจากเมือง "ลูเซีย" ซึ่งเป็นเมืองของราชวงศ์เซราฟิมที่หลงเหลือสร้างขึ้นมาปัจจุบันปกครองโดย "ราฟาเอล" ผู้มีสายเลือดโดยตรงจาก "มิคาเอล" ผู้นำของเซราฟิมรุ่นแรก ไรซ์ที่ 3 ไม่เห็นด้วยที่จะไปขอความช่วยเหลือจากเซราฟิม แต่ต้องจำใจเพราะเป็นหนทางสุดท้ายที่จะต่อต้านกับกองทัพซอเรี่ยนนับแสนได้ "พลทหารพอล" ได้รับหน้าที่เป็นทหารส่งสาร ให้นำจดหมายขอความช่วยเหลือไปส่งให้ราฟาเอลแห่งเมืองลูเซีย จดหมายขอความช่วยเหลือไม่สามารถไปถึงมือของราฟาเอลแห่งลูเซีย เนื่องจากพอลไม่สามารถผ่านประตูกำแพงที่กั้นเขตแดนระหว่างตะวันตกและตะวันออกไปได้ เพราะมีทหารอาร์ซูร่าขวางทางเอาไว้อยู่ ผู้พันคาร์เตอร์เสนอว่าให้เดินทางผ่าน "ฟรอนเทียร์ วิลเลจ" และ "กราเทม" ซึ่งสองหมู่บ้านเป็นพื้นที่ชายแดนระหว่างตะวันตกและตะวันออก ในอดีตผู้คนของทั้งสองหมู่บ้านรักใคร่กลมเกลียวกัน ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เมื่อมีกำแพงขนาดใหญ่แบ่งเขตแดน ผู้คนของหมู่บ้านทั้งสองไม่พอใจเป็นอันมากจึงช่วยกันขุดอุโมงค์ลอดกำแพงขนาดใหญ่เพื่อที่จะเดินทางไปมาหาสู่กันดังเช่นแต่ก่อนตอนที่ยังไม่มีกำแพง เหตุผลหลักที่ผู้คนในฟรอนเทียร์ วิลเลจขุดอุโมงค์ลอดกำแพงมาก็คือ "วิหารท้าวจตุรกร" วิหารศักดิ์สิทธิ์ซึ่งผู้คนของทั้งสองหมู่บ้านต่างเคารพนับถือกันมาตั้งแต่อดีต แต่ปัจจุบัน หมู่บ้านทั้งสองไม่ได้รักกันดังเช่นอดีตอีกต่อไป หลังจากที่จักรวรรดิ มาแบ่งดินแดนฝั่งตะวันตกและฝั่งตะวันออกไม่นาน ก็เกิดมีปัญหาการแบ่งแยกเผ่าพันธุ์ และสุดท้ายก็เกิดปัญหาการแย่งชิงวิหารเท้าจตุรกร ทำให้หมู่บ้านทั้งสองทะเลาะกันตั้งแต่นั้นมา ความหวังสุดท้ายของจักรวรรดิอยู่ที่จดหมายในมือของพลทหารพอล พลทหารพอลเดินหายเข้าไปในป่าเขตแดนของหมู่บ้านกราเทม 495 สองวันต่อมาที่ฟรอนเทียร์ วิลเลจมีคนเห็นพลทหารพอลเดินออกมาจากป่าพร้อมกับร่างที่โชกไปด้วยเลือด ก่อนที่พลทหารพอลจะสิ้นใจได้พูดว่า "อาร์ซูร่า..." ผู้ใหญ่บ้านของฟรอนเทียร์ วิลเลจได้ส่งข่าวแจ้งให้กับจักรวรรดิรับรู้เกี่ยวกับการเสียชีวิตของพลทหารพอลผู้นั้น ความหวังในการขอความช่วยเหลือจากลูเซียของจักรวรรดิ คงต้องหมดไป เพราะว่าทางผ่านไปยังเมืองลูเซียนั้นต้องผ่านเมืองของชนเผ่าอาร์ซูร่า ไรซ์ที่ 3 จึงจำเป็นต้องเปิดเผยแก่ประชาชนทุกคนทราบเกี่ยวกับเรื่อง กองทัพนับแสนของซอเรี่ยน และ ความโหดร้ายของชนเผ่าอาร์ซูร่าที่อยู่โลกอีกฟากหลังกำแพง ขอให้ผู้ที่มีความสามารถด้านการต่อสู้ เข้าร่วมกับกองทัพจักรวรรดิเพื่อร่วมกันต่อสู้กับกองทัพซอเรี่ยนและบุกไปโจมตีชนเผ่าอาร์ซูร่าหลังกำแพง เหล่าผู้กล้าจำนวนมากต่างออกเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆเพื่อฝึกฝนตัวเองและหาทักษะใหม่ๆมารับมือกองทัพซอเรี่ยนและชนเผ่าอาร์ซูร่า สถานการณ์กำลังตรึงเครียด ทุกๆเขตการปกครองของจักรวรรดิ ล้วนมีแต่ทหารของจักรวรรดิเดินลาดตระเวนตลอดเวลา ประชาชนทั่วไปต่างสงสัยว่าชนเผ่าอาร์ซูร่าหน้าตาเป็นอย่างไร จักรวรรดิจึงตัดสินใจส่งจ่าอลันพร้อมด้วยพลทหารอีกสิบนายเข้าไปสืบข่าวในหมู่บ้านกราเทมและถ่ายรูปของชนเผ่าอาร์ซูร่ากลับมา มีอาร์ซูร่าตนหนึ่งบังเอิญเห็นจ่าอลันและเหล่าพลทหารที่กำลังแอบถ่ายรูปชนเผ่าของตนอยู่ อาร์ซูร่าตนนั้นจึงเดินตรงเข้ามาหาจ่าอลันทันที จ่าอลันตกใจจึงเผลอพลั้งมือยิงปืนหนึ่งนัดใส่อาร์ซูร่าตนนั้น และนำทหารทั้งหมดกลับทันทีโดยไม่สนใจอาร์ซูร่าตนนั้น จ่าอลันกลับมารายงานต่อสภาจักรวรรดิว่าถูกชนเผ่าอาร์ซูร่าเห็นและพยายามที่จะเข้ามาทำร้ายตน จึงป้องกันตัวด้วยการยิงปืนขู่หนึ่งนัดและรีบหนีกลับมาทันที จากรูปที่ถ่ายมาได้ ชนเผ่าอาร์ซูร่ามีรูปร่างลักษณะใกล้เคียงกับเผ่ามนุษย์ แตกต่างกันแค่เพียงชนเผ่าอาร์ซูร่ามีรูปร่างสูงใหญ่กว่ามนุษย์ มีเขาสองข้างอยู่ที่ข้างหู ร่างกายแข็งแรงและมีพลังกำลังมากกว่าเผ่ามนุษย์เป็นเท่าตัว จักรวรรดิได้ติดประกาศและแจกจ่ายรูปภาพของชนเผ่าอาร์ซูร่า ฝั่งสภาผู้นำของอาร์ซูร่าประชุมกันเกี่ยวกับเรื่องที่เผ่ามนุษย์ลุกล้ำเขตและมาฆ่าคนของเผ่าตน ผู้นำสูงสุดของสภาผู้นำอาร์ซูร่าประกาศออกมาประกาศต่อชาวอาร์ซูร่าว่า "เมื่อหนึ่งพันปีก่อนเหล่าเทพทอดทิ้งเผ่าพันธุ์ของเรา ช่วยเหลือเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่แสนอ่อนแอ ขับไล่พวกเรามายังดินแดนตะวันออกแห่งนี้ เมื่อหนึ่งร้อยปีก่อนพวกมนุษย์มันสร้างกำแพงกั้นเขตแดนระหว่างเรากับมัน เมื่อหลายวันก่อนมนุษย์กลุ่มหนึ่งข้ามเขตแดนของพวกมันมาฆ่าพวกเราหนึ่งตน ความอับอาย ความโกรธแค้น ความเศร้าเสียใจที่พวกเราสั่งสมมานานนับพันปี บัดนี้ พวกเราเผ่าพันธุ์อาร์ซูร่าเผ่าพันธุ์ที่แข็งแกร่งที่สุดจะไม่ทนอีกต่อไปแล้ว ถึงเวลาแล้วที่พวกเราจะแสดงให้พวกมนุษย์อันแสนอ่อนแอเห็นว่าพวกเราแข็งแกร่งแค่ไหน" สงครามครั้งใหม่กำลังจะเริ่มขึ้น ผู้กล้าทั้งหลายจงเตรียมตัวให้พร้อมเถิด
บทที่ 7 ความจริงที่ถูกเปิดเผย
ภายใต้การนำทัพของพันตรีผู้เป็นมือหนึ่งในการใช้กระบี่่ กองทหารของจักรวรรดิ์ก็เข้าสู้ดินแดนทางใต้อีกครั้งจุดประสงค์เพื่อเข้ามาเจรจาขอผ่านทาง แต่สุดท้ายก็ต้องเข้าปะทะกับกลุ่มนักรบผู้ห้าวหาญของเผ่าอสุรา ผลของการปะทะทำให้ผู้นำทหารและผู้ติดตามถูกเผ่าอสุราพาตัวไปขังไว้ ณ หมู่บ้านบางกระท่อม การหลบหนีเกิดขึ้นในคืนวันนั้นแต่ทว่าพันตรีไม่อาจหลบหนีไปได้ หลังการปะทะย่อยๆ ความวุ่นวายภายในหมู่บ้านบางกระท่อมยังคงมีอยู่ ผู้ใช้มนตราหญิงตนหนึ่งได้ใช้โอกาสนี้ลอบสนทนากับปิศาจร่างยักษ์ แผนการที่ทั้งคู่ได้วางเอาไว้ใกล้สำเร็จแล้ว สงครามใหญ่ที่จะเกิดขึ้นในเร็ววัน จะทำให้มันทั้งคู่บรรลุจุดประสงค์ เมฆหมอกแห่งสงครามที่ก่อตัวขึ้นอีกครั้งถึงแม้จะหนาแน่นแต่ก็ไม่อาจบดบังแสงเล็กๆ แห่งความดีได้ ระหว่างที่พันตรีของเผ่ามนุษย์ถูกจับอยู่นั้นแม้เป็นเชลยก็ไม่ได้นิ่งเฉยจึงขออาสาช่วยพัฒนาหมู่บ้านบางกระท่อม ด้วยใจที่เห็นว่ายังขาดความสะดวกสบายในหลายๆ สิ่ง จนเป็นที่ประทับใจของชาวบ้านและหญิงสาวชาวอสุราผู้หนึ่ง ธงธิวจำนวนนับร้อยพลิ้วไหวอยู่เหนือกองทัพอันยิ่งใหญ่ของจักรวรรดิ์บัดนี้พร้อมแล้วที่จะทำสงครามอีกครั้ง กองกำลังของนักสู้แดนใต้ก็ไม่แพ้กันถึงแม้มีกำลังน้อยกว่าแต่กลับลั่นกลองรบเข้มแข้งไร้ความกลัว หากแต่ ว่าทั้งสองกองรบอันยิ่งใหญ่ไม่อาจรับรู้ถึงกองกำลังสัตว์เลื้อนคลานที่พร้อมเก็บเกี่ยวผลประโยชน์นี้ตั้งทัพอยู่ห่างออกไปไกลสุดเขตแดนทางด้านเหนือ แต่ก่อนที่มหาสงครามจะชักนำพสุธาสุ่การนองเลือด การปะทะย่อยกลับเกิดขึ้นเสียก่อนเมื่อทหารเชลยผู้หลบหนีไปได้กลับมาอีกครั้งพร้อมทหารกลุ่มหนึ่งแม้ไม่ยิ่งใหญ่แต่พร้อมไปด้วยลูกน้องคนสนิทของพันตรีทั้งสิ้น การชิงตัวเชลยเริ่มขึ้นแล้ว กำลังทหารและชาวบ้านเข้าต่อสู้กันจนต่างฝ่ายต่างบาดเจ็บแม้ไม่ถึงชีวิตแต่ก็อาการสาหัส และการต่อสู้ก็จบลงเมื่อหญิงสาวชาวอสุราแอบปล่อยตัวพันตรีออกจากที่คุมขัง ทั้งคู่ได้พาชาวบ้านคนหนึ่ง เข้ามาในสมรภูมิเพื่ออธิบายแผนการที่แอบได้ยินจากการสนทนาระหว่างผู้ใช้มนตราผู้เก่งกล้ากับปิศาจผู้แอบในเงามืด ความจริงกระจ่างแล้วมีมือที่สามมาทำให้เกิดสงครามนี้ เหลือเพียงต้องเอาความจริงนี้ไปเปิดเผยก่อนมหาสงครามจะเริ่มขึ้นเท่านั้น
บทที่ 8 เจตจำนงแห่งพลังธรรมชาติ
หลังจากเหตุการณ์ “พสุธานองเลือด” ทั้งมนุษย์และอสุราก็สงบศึกกันมาตลอด ถึงแม้จะยังมีการปะทะกับพวกซอเรียนจากทางเหนือบ้างแต่ก็เป็นเพียงการ กระทบกระทั่งกันตามชายแดนเท่านั้น
การปรากฏตัวของเจตจำนงแห่งพลังธรรมชาติ
ผ่านไป 3 ปีหลังจากมนุษย์กับอสุราได้กลับมาเป็นพันธมิตรกันอีกครั้ง ทั้งสองเผ่าพันธุ์ก็ได้ร่วมมือเพื่อต่อต้านซอเรียนจากทางเหนือที่เข้ามาประชิดเมืองได้สำเร็จ
ส่วนจันท์ซึ่งเคยพ่ายแพ้ให้กับสงครามครั้งก่อนได้พยายามที่จะเพิ่มพลังของตนโดยการท่องไปยังสถานที่ต่างๆ เพื่อค้นหาขุมพลังที่ยังหลงเหลืออยู่เมื่อครั้งการกำเนิดโลกตามตำรา “กำเนิดโลกและเผ่าพันธุ์ ฉบับสาวกแห่งอาทรัม” กล่าวอ้าง แต่สถานที่เหล่านั้นมิได้หลงเหลือพลังพอที่จะนำมาใช้ประโยชน์ได้อีกแล้ว
จนกระทั่งจันท์ได้ค้นพบบันทึกเก่าๆ เล่มหนึ่งวางขายอยู่ในตลาดกลาง “เมืองอาหรับ” ซึ่งกล่าวถึงบางสิ่งที่อาจถูกปิดผนึกไว้ใน “สุสานกษัตริย์” ผู้บันทึกได้ค้นพบ ก้อนหินที่มีรูปร่างคล้ายแขนขนาดใหญ่ที่ส่วนลึกสุด รายละเอียดของมันยากที่จะเชื่อได้ว่าเป็นแค่ชิ้นส่วนแขนของรูปปั้นธรรมดา แต่ไม่ทันที่จะได้สำรวจเพิ่มเติมก็โดนเหล่ามอนสเตอร์ในสุสานเข้าโจมตีเสียก่อน การปะทะกันส่งผลให้เพดานถ้ำได้ถล่มลงมาปิดกั้นทางเข้าตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา จนกระทั่งจันท์ผู้ได้อ่านบันทึกได้ใช้พลังของตนเปิดเส้นทางที่ปิดตายนั้นอีกครั้ง ภายในส่วนลึกสุดของสุสานไม่ไกลมากนักจากชิ้นส่วนแขนปริศนามันคือศิลาหินใหญ่เก่าแก่ที่มีสภาพใกล้จะแตกสลาย บนศิลาหินมีสัญลักษณ์เวทซึ่งเป็นของเผ่ามนุษย์สลักอยู่ด้วย หากว่าจันท์ไม่ได้ต้องการค้นหาความลับของสิ่งที่ถูกผนึกอยู่ เธอคงป่นมันทิ้งด้วยความรู้สึกโกรธเคืองที่มีต่อเผ่ามนุษย์ไปแล้ว
จันทร์เดินทางออกจากสุสานกษัตริย์ ความสงสัยต่อสัญลักษณ์เวทบนศิลาได้ผลักดันให้เธอลอบเข้าไปยังหอสมุดของเมืองเซาท์เทิร์นฟอร์ท เธอได้พบตำราเวทมนตร์ เล่มหนึ่งซึ่งกล่าวถึงเรื่องราวหลังจากการกำเนิดโลก 1000 ปี มันเป็นเหตการณ์ที่มีการก่อตัวขึ้นของพลังธรรมชาติ ทั้ง 4 ด้วยเจตจำนงของตัวมันเอง ออกมาอาละวาดทำลายทุกสิ่ง แม้เหล่าเทพจะช่วยกันปกป้องโลกไว้แต่ก็ไม่อาจทำลายพลังแห่งธรรมชาตินี้ได้ เทพลูซิสจึงผนึกมันไว้แล้วมอบหน้าที่การเปลี่ยนผนึกใหม่ทุกๆ 100 ปี แก่ “มาริค อัลเดอไวซ์” หัวหน้าจอมเวทของมนุษย์ ณ ตอนนั้น ลูซิสได้แยกผนึกพลังธรรมชาติ ทั้ง 4 ไว้คนละที่กัน คือ วิหารท้าวจตุรกรที่ปิดผนึกวินเอเลเมนทัล ถ้ำใต้น้ำที่ปิดผนึกวอเตอร์เอเลเมนทัล วิหารเพลิงที่ปิดผนึกไฟเอเลเมนทัล และสุสานกษัตริย์ที่ปิดผนึกเอิร์ธเอเลเมนทัล จันทร์ล่วงรู้ความลับทั้งหมดแล้ว จึงออกเดินทางไปปลดผนึกด้วยความต้องการที่จะก่อให้เกิดความวุ่นวาย เกิดการปะทะขึ้นหลายครั้งระหว่างจันทร์กับกองกำลังของมนุษย์และได้ปลดผนึกสำเร็จไปไป 3 แห่ง จนกระทั่งการปลดผนึกสุดท้ายที่วิหารท้าวจตุรกร จันทร์ได้ปะทะกับเซรีนหัวหน้าจอมเวทย์คนปัจจุบันและเหล่าผู้กล้า ผนึกถูกปลดสำเร็จแต่พลังธรรมชาติทั้ง 4 ไม่ได้ทรงพลังเหมือนครั้งในอดีตอีกแล้ว พวกมันจึงพ่ายแพ้และรวมตัวกันปลดผนึกลับภายในร่างของตัวเองทั้ง 4 ธาตุ เพื่อฟื้นคืนชีพให้กับราชันย์แห่งความว่างเปล่า ที่ถูกเทพลูกซิสผนึกไว้แต่แรกเมื่อนานมาแล้ว
บทที่ 9 สาสน์พยากรณ์
ช่วงนี้มีข่าวลือหนาหูไปทั่วเมืองเซาท์เทิร์นไชร์เกี่ยวกับเด็กหนุ่มปริศนา ท่าทางซอมซ่อเนื้อตัวมอมแมม คอยเล่านิทานเรื่องโลกอสุราแก่นักเดินทางหน้าใหม่ โดยผู้ที่พบเจอบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า ในตอนที่ตนกำลังหลงทางอยู่นั้น มีเสียงกระซิบของเด็กหนุ่มขึ้นมาว่า
" นี้ๆ นายคนนั้น เคยได้ยินนิทานของโลกใบนี้บ้างหรือปล่าว "
เมื่อสิ้นสุดเสียง จะเห็นเด็กหนุ่มเดินออกมาจากเงามืด ทุกคนที่พบเจอเหมือนต้องมนต์สะกดให้รับฟัง เรื่องการสร้างของโลก ผู้ให้กำเนิดเผ่าต่างๆ จวบจนการต่อสู้ครั้งใหญ่
ของมหาเทวีลูซิสและอาทรัม อันเนื่องมาจากกฎของลูซิสที่จะเพิกเฉยการกระทำของมนุษย์ต่อโลกใบนี้ แต่ลูซิสยังคงแหกกฎเรื่อยมา ทำให้อาทรัมไม่พอใจ จนกระทั่งลูซิสมีชัย จึงแบ่งอาทรัมออกเป็น 7 ส่วน เมื่อจบประโยคนี้นักเดินทางสังเกตเห็นเด็กหนุ่มเริ่มมีสีหน้าขุ่นเคือง น้ำเสียงไม่พอใจ หยุดการเล่าเรื่องแล้วเดินจากไปพร้อมรอยยิ้ม และพูดขึ้นว่า
" ในยามที่ราชันย์คืนชีพ หอคอยทมิฬจะเปลี่ยนขาวเป็นดำ รัตติกาลสีแดงฉานจะย้อมทางเหนือ..อ...ออ "
เหมือนสายลมแห่งเซาท์เทิร์นไชร์ไม่เป็นใจพัดเอาประโยคสุดท้ายลอยหายไป เมื่อนักเดินทางถามเด็กหนุ่มว่า
" เด็กน้อยเจ้ามีชื่อหรือไม่ " เด็กหนุ่มจะยิ้มและกระซิบเบาๆกลับไปว่า " ครั้งหนึ่งข้าเคยถูกเรียกว่า อาทรัม "
นักเดินทางทุกคนล้วนหยุดนิ่ง เปลือกตาก็ค่อยๆปิดลงจนสนิท และพบว่าตัวเองตื่นมาให้ตึกอคาเดมี่แล้ว..
บทที่ 10 ปราการไร้ตะวัน
ย้อนไปในช่วงเริ่มต้นที่มนุษย์กำลังเริ่มมีปัญหากับอสุรา การทดลองลับๆ เกิดขึ้นทางทวีปอันหนาวเย็นทางทิศเหนือของแองเจลเลีย (อาณาจักรซอเรี่ยน)
มนุษย์ชายหญิงคู่หนึ่งถูกจับมาทดลอง ผลของการทดลองได้ให้กำเนิดต้นตระกูลแวมไพร์
ชายหญิงคู่นี้ลืมหมดแล้วซึ่งความทรงจำตอนเป็นมนุษย์ ทั้งคู่ถูกส่งกลับมายังทวีปแองเจลเลียเพื่อทำภารกิจควบคุมดวงวิญญาณ
ดวงวิญญาณที่มีพลังแห่งทวยเทพที่ให้กำเนิดมนุษย์และอสุรา บัดนี้ได้เป็นดั่งขุมพลังที่จะปลุกชีพเทวีแห่งอาทรัม
ถึงแม้ร่างกายจะเป็นแวมไพร์แต่ความทะเยอทะยานของมนุษย์ยังคงอยู่ เพื่ออำนาจราชาและราชินีแวมไพร์จึงทำการสร้างทหารผีดิบจากดวงวิญญาณที่ตนได้ควบคุมไว้เพื่อใช้งานนอกภารกิจ
ข้อคิดเห็น
0 ข้อคิดเห็น
โปรด ลงชื่อเข้าใช้ เพื่อแสดงข้อคิดเห็น