บทที่ 11 การตั้งเค้าของพายุใหญ่
ตอนที่ 1
- 3 ปีให้หลังของแผนการที่ล้มเหลวของซอเรี่ยน มนุษยและอสุราได้มีการติดต่อกันมากขึ้นทั้งในด้านการค้าและวัฒนะธรรม ไม่นานนักก็ได้มีการกำหนดการนับปีขึ้นใช้ร่วมกันในชื่อ "มิตรศักราช" (Friendship Era) และในช่วงเวลาเดียวกันนี้เรื่องราวของจันผู้ได้ชื่อว่าเป็นอาชญากรมนตราก็ได้ถูกพูดถึงไปทั่วทั้งทวีปแองเจเลีย ผู้ที่ได้ฟังบ้างก็สาปแช่งบ้างก็สมเพชในการกระทำของนาง แต่คำล่ำลือนี้กลับเติมเต็มความปรารถนาให้กับตัวจันมากยิ่งขึ้นหลายเท่าตัว แต่นั่นก็ไม่เท่ากับความยินดีล่าสุดเมื่อนางได้รับเทียบเชิญลึกลับจากชนเผ่าโบราณทางทวีปทิศเหนือ
- ขึ้น 5 ค่ำ เดือนที่ 2 ปีมิตรศักราช ที่ 1 ร่างโคลนของสัตว์ทดลองนาม "ดรากูน" ถูกส่งไปคุมรังลับแถวลุ่มน้ำบริเวณโบราณสถานเอลฟ์ หลังจากร่างหนึ่งถูกสังหารในสงครามด้วยฝีมือของพลตรีโจนาธาน การสูญเสียจอมทัพครั้งนั้นไม่ได้ลดทอนความกระหายในอำนาจของเผ่าซอเรี่ยนที่จะครอบครองทวีปแองเจเลียแม้แต่น้อย เพราะพวกมันได้สิ่งมีค่ามากว่าทหารโคลนคล๊อกโคเดี้ยนกลับไปแทน นั่นคือการก้าวเท้าเข้าสู่ทวีปอันเหน็บหนาวของพันธมิตรต่างเผ่านาม "จัน"
- หลายพันปีก่อนเมื่อครั้งเทวีอาทรัมถูกแบ่งเป็น 7 ส่วน พลังมนตราของเผ่าซอเรี่ยนก็ได้จางหายไปตามกาลเวลาจนกระทั่งปัจจุบันเหลือผู้มีพลังเวทเพียงไม่กี่รายเท่านั้น แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เหล่าชีวิตบนทวีปอันเหน็บหนาวสูญสิ้นลงไปตามกาลเวลา เพราะพวกมันยังหลงเหลือผิวกายที่แข็งแกร่งดุจเหล็กและสติปัญญาที่เทวีอาทรัมได้มอบไว้ให้เมื่อครั้งอดีต บัดนี้เผ่าพันธุ์มังกรซอเรี่ยนไม่ได้แค่มีชีวิตหลงเหลืออยู่บนโลกนี้แต่ยังพรั่งพร้อมด้วยเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำเหนือเผ่าอื่นไปหลาย 100 ปี
- แรม 1 ค่ำ เดือนที่ 3 ปีมิตรศักราช ที่ 1 ณ ทางลับของเมืองที่ไม่ปรากฏบนแผนที่นาม "ไซสเกล" ซึ่งซ่อนตัวอยู่ในหุบเขาน้ำแข็งบนทวีปทางทิศเหนือ ทางเส้นนี้เป็นทางที่จันกำลังใช้เดินทางเข้าสู่เมืองในสภาพที่ไม่น่าอภิรมย์นัก การมาเยือนของผู้ใช้มนตราผู้มีชื่อทำให้ทหารซอเรียนจำเป็นต้องเสียมารยาทปิดตาและล๊อคข้อมือนางไว้ด้วยสิ่งประดิษฐ์บางอย่างที่ทำหน้าที่บดบังอาคม กองคาราวานย่อมๆนี้ประกอบด้วยทหารคล๊อกโคเดียนหน่วยหนึ่งที่มีชาวซอเรี่ยนผู้สวมเครื่องปิดบังใบหน้าไว้มิดชิดเป็นผู้คุมหน่วย กองทหารกองนี้ทำหน้าที่มารับจันและนำทางเพื่อเข้าพบ 5 มังกรโบราณหรือเหล่าผู้เฒ่าผู้มีอำนาจสูงสุดของเผ่าซอเรี่ยนตามนัดหมาย ซึ่งนับเป็นการพบปะพูดคุยระหว่างบุคคลชั้นสูงของเผ่าซอเรี่ยนกับเผ่าพันธุ์อื่นครั้งแรกในรอบหลายพันปี
จันถูกพามาถึงวิหารแห่งหนึ่งกลางตัวเมืองไซสเกลซึ่งเป็นจุดนัดพบที่ระบุไว้บนเทียบเชิญ ผู้คุมหน่วยชาวซอเรี่ยนพาจันเข้าไปในวิหารที่เหล่าผู้เฒ่าทั้ง 5 คอยอยู่ บัดนี้ถึงเวลาทำตามแผนการที่จอมมนตราชาวอสุราได้คิดไว้ก่อนเข้ามายังทวีปนี้แล้ว สำหรับผู้มีอาคมแก่กล้าเช่นนางสิ่งประดิษฐ์ที่ข้อมือไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการใช้เวทมนของนางเลย ระหว่างเส้นทางที่เข้าถึงนางสามารถปลดปล่อยพลังเวทเพื่อทำให้ร่างกายอบอุ่นท่ามกลางอากาศอันเหน็บหนาวและจดจำทุกได้ทุกสิ่งที่มองเห็นผ่านมนตราของนาง รวมทั้งภาพของเหล่าผู้เฒ่าชาวซอเรียนที่ดูชราภาพไร้ซึ่งเรี่ยวแรงนั่งอยู่บนเก้าอี้ที่วางเรียงกันเป็นรูปครึ่งวงกลมกลางห้องโถงใหญ่ แค่คนแก่ 5 คน สำหรับจันแล้วนีเป็นงานที่ง่ายที่สุดตลอด 10 กว่าปีทีผ่านมา คิดได้ดังนั้นจันจึงเริ่มร่ายมนเพื่อปลดเครื่องพันธนาการที่ข้อมือ แต่ก่อนที่คาถาบทนี้จะจบลงก็เกิดนิมิตขึ้น ในนิมิตปรากฏร่างของตัวนางเองถูกมังกรขนาดใหญ่ 5 ตัวรุมฉีกร่างจนเศษเนื้อกระจัดกระจายไปทั่วห้องโถงใหญ่ และแล้วนิมิตก็จบลงพร้อมคาถาที่ร่ายไม่ครบบทของจอมขมังเวทผู้เก่งกล้า ที่บัดนี้กลับมีเหงื่อไหลโซมกายเพราะอาการตื่นตระหนก เหล่าซอเรี่ยนชราทั้ง 5 แสยะยิ้ม และผู้เฒ่าที่นั่งอยู่ตรงกลางของทั้งหมดก็เอ่ยขึ้น "ปลดเครื่องพันธนาการนั่นได้และเรามาเริ่มคุยกัน...เจ้านำสิ่งนั้นมาด้วยใช่มั้ย?" จันร่ายมนปลดเครื่องพันธนาการและผ้าปิดตาออก และหยิบ "ศิลาไร้น้ำหนัก" ออกมาจากแขนเสื้อพร้อมทั้งผลักมันลอยมาหยุดตรงหน้าเหล่าผู้เฒ่า แล้วการสนทนาก็เริ่มขึ้น
ตอนที่ 2
- บนโลกนี้มีเรื่องราวเล่าขานอยู่มากมาย บางเรื่องก็ถูกบันทึกไว้บางเรื่องก็เล่าต่อกันมาแบบปากเปล่า จนเรื่องราวในเนื้อความถูกเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา เรื่องราวของ "ศิลาไร้น้ำหนัก" ก็เช่นเดียวกัน นานมาแล้วนับหลายพันปีเมื่อครั้งที่เหล่าเทพเจ้ายังคงเฝ้ามองทุกชีวิตบนโลกนี้ การเฝ้ามองทุกวันนับร้อยๆปีทำให้บ่อยครั้งที่มองเห็นถึงความเคารพและศรัทธาจากโลกเบื้องล่างที่มีต่อตนเองอย่างเปี่ยมล้น ทำให้เกิดความรู้สึกสำราญใจเป็นอย่างยิ่งถึงขั้นโปรดปรานมอบของขวัญล้ำค่าให้ แต่ของขวัญใดใดก็ไม่เท่ากับการมอบ "ปีก" สิ่งเดียวที่ทำให้สิ่งมีชีวิตเหล่านั้นขึ้นมารับใช้ยังที่พำนักของตนอย่างใกล้ชิด โดยแลกกับความทรงจำและภาระที่ต้องทิ้งไว้ยังโลกเบื้องล่าง การมอบปีกของเทพเจ้าดำเนินต่อเนื่องมาอีกหลายพันปีจนกระทั่งมหาเทวีลูซิสทรงประกาศให้เหล่าทวยเทพตัดขาดจากโลกและละทิ้งเหล่าข้ารับใช้ผู้มีศรัทธาส่งพวกเขากลับสู่โลกให้หมดสิ้น เมื่อเหล่าข้ารับใช้เทพเจ้าเหยียบลงสู่ดินแดนดั้งเดิมที่เคยจากไป ปีกสวยงามก็แปรเปลี่ยนเป็นหินผุกร่อนร่วงลงสู่พื้นดิน เหล่าผู้ถูกละทิ้งรู้สึกผิดหวังแต่ยังไม่สิ้นศรัทธาได้นั่งลงสวดอ้อนวอนหน้าเศษปีกของตนไม่ลุกไปไหนจนสิ้นชีวิตและกลายเป็นดวงจิตแห่งศรัทธาลอยวนอยู่เหนือซากปีกรอวันแตกสลาย เหล่าเทพรู้สึกเห็นใจแต่ไม่อาจขัดรับสั่งองค์เทวีจึงร่วมกันดลบันดาลให้ดวงจิตเหล่านั้นเข้าสิงอยู่ที่ปีกเพื่อรอวันที่จะกลับคืนสู่ที่พำนักของเหล่าทวยเทพอีกครั้ง แต่ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ร้อยปีหลังจากนั้นเหล่าดวงจิตแห่งศรัทธาก็ยังไม่ได้กลับคืนสู่สรวงสวรรค์ ได้แต่กระจัดกระจายไปตามส่วนต่างๆของโลกเบื้องล่างเพียงเพื่อสร้างเรื่องราวให้กับเหล่านักสำรวจผู้พบเจอศิลาที่มีคุณสมบัติลอยบนอากาศได้นาม "ศิลาไร้น้ำหนัก"
- ขึ้น 1 ค่ำ เดือนที่ 9 ปีมิตรศักราช ที่ 1 อาคารขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ท้ายเมืองไซสเกล สิ่งปลูกสร้างนี้เป็นจุดหนึ่งในหลายๆจุดที่รวมไปด้วยนักวิทยาศาสตร์และวิศวกรชาวซอเรี่ยน โดยในเวลาปกติจะมีแต่ความเงียบที่ครอบคลุมอาคารหลังนี้ไว้เพราะมีเพียงทหารคร๊อกโคเดี้ยนเฝ้ายามเพียงเล็กน้อยและเหล่าผู้มีสติปัญญาชาวซอเรียนจะขลุกอยู่แต่ในห้องทำงานที่ตนได้รับมอบหมายเท่านั้น แต่ตลอด 6 เดือนมานี้หลังจากการมาเยือนของจอมมนตราชาวอสุรา อาคารแห่งนี้กลับมีแต่เสียงการทำงานของเครื่องจักร กองทหารครอกโคเดี้ยนผลัดกันเข้าเวรทุกชั่วโมง และกลุ่มผู้ปราศเปลื่องชาวซอเรี่ยนที่ประจำอยู่ตามส่วนต่างๆ ของยานพาหนะขนาดใหญ่รูปร่างเหมือนเรือสำเพา ด้านหน้าเรือแกะสลักเป็นรูปหัวมังกรที่มีลำตัวและปีกทอดยาวไปตามความยาวของลำเรือ ที่ท้ายเรือได้ยินเสียงเครื่องจักรที่ติดตั้งกังหันขนาดใหญ่ไว้ 3 ตัว เมื่อมองลงมาจากหลังคาอาคารจะมองเห็นดาดฟ้าเรือและเสากระโดงที่ติดใบเรือลวดลายสัญลักษณ์เผ่าซอเรียนไว้อย่างอลังการ ภายในท้องเรือถูกแบ่งเป็นหลายห้อง แต่มีห้องที่ขนาดใหญ่ที่สุดตั้งอยู่กลางลำเรือซึ่งมีเนื้อที่ขนาดบรรจุทหารคร๊อกโคเดี้ยนได้กว่า 1000 ชีวิต ในบรรดาห้องเล็กๆ มีอยู่ห้องหนึ่งที่พิเศษที่สุดเพราะบุผนังทั่วห้องด้วยวัสดุที่ชาวซอเรี่ยนเรียกกันว่าฉนวนมนตรา ตรงกลางห้องนี้ปรากฏหลอดแก้วขนาดใหญ่ที่ถูกยึดไว้อย่างดีกับพื้นและเพดานห้อง ภายในหลอดแก้วมีศิลาเปล่งแสงสีม่วงแห่งมนตราลอยอยู่
แรม 7 ค่ำ เดือนที่ 11 ปีมิตรศักราช ที่ 1 ท่ามกลางท้องฟ้ายามค่ำคืนอันไร้ซึ่งสิ่งมีชีวิต กลับได้ยินเสียงเครื่องจักรกำลังทำงานผ่านก้อนเมฆหนาที่ทำหน้าที่บดบังแสงจากดวงจันทร์ เมื่อเพ่งมองผ่านหมู่เมฆเข้าไปจะปรากฏที่มาของเสียง คือ เรือสำเภาขนาดใหญ่ลอยอยู่บนฟ้าเหนือพื้นทะเลนอกทวีปทางเหนือ เส้นทางของเรือลำนี้กำลังมุงหน้าสู่ทวีปแองเจเลียเพื่อส่งกองทหารสัตว์ร้ายที่บรรทุกมาเต็มอัตรา รอเข้าทำภารกิจบางอย่างที่ได้รับมอบหมายมา ภายในห้องควบคุมอันน่าพิศวงจันกำลังครุ่นคิดถึงนิมิตที่นางได้มองเห็นขณะเข้าพบ 5 ผู้เฒ่า ชาวซอเรี่ยนยังหลงเหลือผู้มีพลังขนาดนั้นทำไมยังต้องการผู้ใช้มนตราเช่นตนอีก มันต้องมีสาเหตุที่ทำให้ผู้เฒ่าทั้ง 5 ไม่สามารถใช้พลังได้อย่างเต็มที่แน่ๆ จันได้แต่เก็บความสงสัยไว้ในใจและเร่งทำหน้าที่ตามที่ได้ตกลงกันไว้กับเหล่าผู้เฒ่า เมื่อรุ่งสางของวัน แรม 8 ค่ำ เดือนที่ 12 ปีมิตรศักราช ที่ 1 มาถึง เรือเหาะซึ่งเป็นเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดของชาวซอเรียนก็บินผ่านเข้าสู่แผ่นดินทวีปแองเจเลีย เมื่อมันอยู่เหนือแนวร่องเขาสูงชันที่ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของเมืองไอยรา ก็ลดเพดานบินลงและเตรียมส่งทหารคร๊อกโคเดี้ยนเข้าสู่พื้นที่ของเมืองไอยราเพื่อสร้างความโกลาหลให้เกิดขึ้น
ตอนที่ 3
- ขึ้น 15 ค่ำ เดือนที่ 2 ปีมิตรศักราช ที่ 1 กลางป่าลึกไม่ไกลนักจากที่ราบหุบเขาทางตะวันตกของวินโดเนีย เป็นจุดที่มีป้อมปราการร้างบรรยากาศดูน่าขนลุกตั้งอยู่ แม้ตอนนี้จะเป็นเวลากลางวันแต่รอบพื้นที่บริเวณนี้กลับไร้ซึ่งแสงอาทิตย์เพราะมีเมฆสีดำดูประหลาดลอยอยู่เหนือป้อมปราการคอยบดบังแสงแดดเอาไว้ ณ จุดสูงสุดของป้อมปราการบัดนี้มีร่างของมนุษย์ทดลองคู่หนึ่งสยายปีกค้างคาวใหญ่ยืนอยู่บนดาดฟ้าป้อมปราการ ตรงกลางดาดฟ้ามีดวงวิญญาณสีดำขนาดใหญ่ลอยอยู่ รอบวงรัศมีของมันปรากฏดวงวิญญาณสีขาวมากมายกำลังวิ่งเข้าสู่ใจกลางของดวงวิญญาณดวงใหญ่และหายไปพร้อมทั้งการขยายขึ้นของดวงวิญญาณสีดำ ปรากฏการนี้เกิดขึ้นไม่นานนัก และแล้วแสงสว่างจากดวงวิญญาณสีขาวก็หายไปหมดเหลือเพียวดวงวิญญาณดวงใหญ่สีนิลลอยคว้างกลางดาดฟ้าเพียงดวงเดียว ท่ามกลางความเงียบของปราการกลางป่ารกร้างมีเสียงพึมพำของแวมไพร์หนุ่มแว่วขึ้นมา "อีกไม่นานแล้วสินะที่ไอ้เทวีอะไรนั่นจะฟื้นขึ้นมา แล้วเราจะได้เริ่มงานของเราซะที..." เสียงแวมไพร์สาวกล่าวรับ "ค่ะท่านพี่..." เมื่อสิ้นเสียงเผ่าพันธู์ประหลาดทั้ง 2 ตน ดาดฟ้าป้อมปราการก็ว่างเปล่าในทันที
เดือนที่ 4 ปีมิตรศักราช ที่ 1 ข่าวการฟื้นคืนชีพของเทวีอาทรัมช่วยกระตุ้นความร่วมมือกันระหว่างมนุษย์และอสุรามากยิ่งขึ้น เกิดการประชุมใหญ่ขึ้น 2 ครั้ง คือ ที่เมทัลพาเลซของชาวมนุษย์ และพระราชวังเมืองไอยราของชาวอสุรา การประชุมทั้ง 2 ครั้งต่างมีมติให้ส่งสายข่าวออกไปทั่วทวีปแองเจเลียจนในที่สุดก็ค้นพบความผิดปกติที่เกิดขึ้นบทางด้านเหนือสุดของทวีป ด้วยคำบอกเล่าของชาวเมืองวินโดเนีย ที่เล่าถึงซากสัตว์ที่โดนสูบเลือดจนหมดตัวถูกทิ้งไว้ในป่า เรื่องเล่าของการหายตัวไปของคนในหมู่บ้านและนักท่องเที่ยวต่างถิ่น ทุกอย่างชี้นำไปที่ป้อมปราการที่ถูกทิ้งร้างไว้ในหุบเขาวินโดเนีย หลังจากนั้นไม่นานการเกณฑ์ผู้กล้าฝีมือดีก็เริ่มขึ้น การส่งคนเข้าไปประชิดป้อมปราการเป็นจำนวนมากเพื่อที่จะจบเรื่องราวนี้อย่างเร็วที่สุดกลับเป็นผลเสียซะมากกว่า หลายครั้งที่กลุ่มคนเหล่านั้นเข้าไปและไม่ได้กลับออกมา หลายครั้งที่ผู้ที่เหลือรอดกลับมามีอาการประสาทหลอนอ้างถึงการต่อสู้กันเองกับเพื่อนร่วมทีม การทำภารกิจเข้ายึดป้อมปราการดำเนินต่อเนื่องกันมาหลายคืนเพ็ญแต่ก็ไม่มีอะไรคืบหน้า จนกระทั่งเวลาล่วงเลยมาถึงคืนเพ็ญที่อาจจะเป็นคืนสุดท้ายของภารกิจนี้- ขึ้น 15 ค่ำ เดือนที่ 10 ปีมิตรศักราช ที่ 1 คืนนี้เป็นคืนที่มีพระจันทร์เต็มดวงคืนหนึ่งซึ่งก็เหมือนกับหลายๆคืนเพ็ญที่ผ่านมา แต่สำหรับป้อมปราการร้างแห่งนี้แล้วกลับแปลกประหลาดกว่าคืนเพ็ญใดๆ เพราะที่นี่ในยามปกติจะมีเมฆสีดำคอยบดบังทุกแหล่งกำเนิดแสงจากฟากฟ้าอยู่ตลอดเวลาทั้งยามกลางวันและกลางคืน แต่คืนนี้กลับไร้ซึ่งเมฆหมอกใดๆทำให้แสงจันทร์ของคืนเพ็ญส่องสว่างถึงตัวปราสาท ความสว่างที่เกิดขึ้นส่งผลให้มองเห็นดวงวิญญาณสีดำขนาดใหญ่ได้ชัดเจน ซึ่งบัดนี้ขนาดของมันใหญ่จนเต็มดาดฟ้าป้อมปราการแล้ว บนท้องฟ้าห่างจากดาดฟ้าไม่กี่เมตรมองเห็น 2 แวมไพร์ลอยตัวกระพือปีกค้างคาวใหญ่อยู่กลางอากาศ "นี่คงเป็นคืนสุดท้ายแล้วที่เราจะทำงานให้พวกหน้าจิ้งจกนั่น" แวมไพร์หนุ่มกล่าวขณะลอยตัวเข้าใกล้ดวงวิญญาณสีดำ "ต่อจากนี้ไปเราจะเริ่มดำเนินการตามแผนของเรา ด้วยวิธีสูบดวงวิญญาณของพวกซอเรี่ยน ทำให่เราได้ทหารที่แข็งแกร่งกว่ากองทัพจระเข้นั่นหลายเท่านัก" แวมไพร์สาวกล่าวเสริม แต่ในระหว่างที่ 2 ปิศาจค้างคาวใหญ่กำลังสนทนากันอยู่นั้น ท้องฟ้าที่สว่างด้วยแสงจันทร์ก็ค่อยๆมืดลงพร้อมกับที่ดวงวิญญาณสีดำได้หยุดสูบดวงวิญญาณสีขาว ขณะนี้สิ่งมีชีวิตทั่วทวีปแองเจเลียกำลังมองเห็นดวงจันทร์ที่ค่อยๆมืดลง พร้อมกับ 2 แวมไพร์ที่กำลังมองเห็นดวงวิญญาณสีดำใหญ่ที่ค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีขาวสว่าง เมื่อดวงวิญญาณดวงใหญ่ใกล้ที่จะเปลี่ยนเป็นสีขาวจนจะครบทั้งดวงก็เกิดปรากฏการย้อนกลับขึ้น ความมืดสีดำกลับมาครอบครองดวงวิญญาณดวงใหญ่อย่างรวดเร็วพร้อมทั้งเกิดการสั่นไหวของแผ่นดินรอบป้อมปราการ แต่ไม่ทันที่ความมืดดำจะเข้าครอบครองดวงวิญญาณทั้งดวง แสงสีขาวสว่างก็เกิดขึ้นจากใจกลางดวงวิญญาณดวงใหญ่และดีดกลุ่มความมืดสีดำขึ้นสู่ท้องฟ้ามองเห็นเป็นเส้นสีดำสูงเสียดฟ้าและไม่นานนักก็แตกออกเป็น 7 เส้น พุ่งออกไปยังทิศทางต่างกัน มองเห็นเป็นเส้นสีดำลากผ่านผืนฟ้าทั่วทวีปแองเจเลีย เมื่อกลับมายังจุดกำเนิดของปรากฏการทั้งหมด ก็พบแสงสีขาวบริสุทธิ์สว่างจ้าที่ค่อยๆลดความสว่างลงและเมื่อสิ้นสุดความสว่างก็มองเห็นร่างของทารกน้อยนอนส่งเสียงร้องอยู่กลางดาดฟ้าป้อมปราการ
- ขึ้น 15 ค่ำ เดือนที่ 10 ปีมิตรศักราช ที่ 1 คืนเพ็ญของเมืองท่า "รายาบุรี" ก็เป็นเหมือนเช่นทุกคืนนั่นคือความสนุกสนานของงานรื่นเริงที่จะเกิดขึ้นทุกๆคืนพระจันทร์เต็มดวง หลังจากมนุษย์และอสุราจับมือกันร่วมชนะสงครามในศึกพสุธานองเลือดการค้าระหว่าง 2 เผ่า ก็ดีขึ้นเรื่อยๆ จนเกิดเมืองท่าขึ้นหลายแห่งเพื่ออำนวยความสะดวกในการขนส่งสินค้าทางเรือ รายาบุรีก็เป็นหนึ่งในเมืองท่าเหล่านั้นแต่สิ่งที่ทำให้ที่นี่แตกต่างจากที่อื่น คือ ประเพณ๊เต้นรำสวมหน้ากาก ที่เหล่ามนุษย์และอสุราจะใส่หน้ากากปิดบังใบหน้ามาหาคู่เต้นรำในคืนวันเพ็ญ งานเต้นรำสวมหน้ากากจะใช้เวลาเตรียมงานเกือบทั้งวันและเริ่มให้เหล่าหนุ่มสาวเข้ามาร่วมงานได้ตั้งแต่ยาม 1 ร่วมร้องรำทำเพลงกันไปจนถึง ยาม 3 และคืนนี้ก็เช่นกันที่งานรื่นเริงได้เดินทางมาถึงช่วงสุดท้ายก่อนที่จะปิดงานราว 1 ชั่วโมง ปรากฏการประหลาดก็เกิดขึ้นเหนือเมืองท่าแห่งความรื่นเริง ท้องฟ้าที่เคยสว่างด้วยแสงจันทร์กลับมืดลงเพราะดวงจันทร์ค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีดำแล้วกลับมามีแสงสว่างอีกครั้ง หลังจากนั้นไม่นานนักมีลำแสงสีดำพุ่งผ่านเหนือหมู่บ้านไปตกยังหมู่เกาะข้างเคียง เหล่าผู้ร่วมงานคิดกันไปต่างๆนาๆ ผู้ที่รู้สึกตื่นเต็นเพราะเห็นเป็นเรื่องน่าตื่นตาตื่นใจก็คิดว่าเป็นการแสดงปิดท้ายของผู้จัดงาน ผู้ที่รู้สึกกลัวและขวัญอ่อนต่างรีบเดินออกจากงานเพื่อกลับไปยังที่พักผ่อนเพราะกลัวจะเกิดเรื่องร้ายแรง แต่ก็ยังไม่มีเหตุการณ์ร้ายแรงใดใดหลังจากคืนนั้นเกิดขึ้น จนกระทั่งข่าวการหายตัวไปอย่างลึกลับของชาวเกาะที่ถูกส่งไปดูจุดตกของลำแสงสีดำกระจายไปทั่วหมู่บ้าน
บทที่ 12 อดีตของความมืด
ตอนที่ 1
- เรื่องราวต่อไปนี้เป็นหนึ่งในเรื่องราวที่ไร้การบันทึกลงหลักศิลาหรือแผ่นหนังใดใด เป็นเพียงเรื่องราวที่เคยเกิดขึ้นในช่วงเวลาหนึ่งบนที่พำนักของเทพเจ้า ยุคทองของการมอบปีกแห่งศรัทธา ยุคที่การละเล่นและงานรื่นเริงแพร่หลายเข้ามายังดินแดนศักดิ์สิทธิ์ งานชุมนุมแห่งสวรรค์ จึงถูกอุบัติขึ้นโดยองค์เทวีลูซิสผู้ชื่นชอบความแปลกใหม่ โดยโปรดให้จัดงานรื่นเริงนี้ปีละครั้งยังบริเวณท้องฟ้าทิศเหนือ การเตรียมงานเป็นหน้าที่ของกลุ่มเทพเจ้าสันทนาการและผู้ศรัทธาใกล้ชิด ภายในงานมีทั้งอาหารและเครื่องดื่มหลากรสชาติ พร้อมพรักไปด้วยมหรสพและกิจกรรมตามซุ้มต่างๆ ที่ถูกจัดวางไว้อย่างลงตัวทั่วน่านฟ้าทิศอุดร มองเห็นจากโลกเบื้องล่างดั่งงานเต้นรำของดวงดาวที่ปรากฏให้เห็นเพียงปีละครั้งเท่านั้น การละเล่นและกิจกรรมใหม่ๆถูกสรรหาเข้ามาเพื่อความพึงพอใจของเทพลูซิส แต่ก็ไม่มีสิ่งใดน่าประทับใจไปกว่า ละคร การแสดงละครเป็นหนึ่งในกิจกรรมอันโปรดปรานขององค์มหาเทวี มักจะจัดต่อจากการรายงานเหตุกาณ์ทั้งปีบนสรวงสวรรค์อันน่าเบื่อ หลายครั้งที่องค์เทวีลูซิสอยากตัดรายการนี้ออกไปเสียหากไม่ถูกคัดค้านจากเทพชั้นผู้ใหญ่องค์อื่นเสียก่อน
- การแสดงละครใน งานชุมนุมแห่งสวรรค์ เป็นสุดยอดของกิจกรรมหนึ่งเดียวที่ไม่เคยถูกคัดออก นั่นก็เพราะส่วนหนึ่งองค์เทวีลูซิสจะเป็นผู้คิดบท นำแสดงและกำหนดตัวแสดงเองทั้งหมด หลายเรื่องที่เธอแต่งขึ้นจากจินตนาการมักนำไปสู่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง ไม่ว่าจะเป็น ต้นถั่วยักษ์จากเรื่อง ลูซิสผู้ฆ่ายักษ์ หรือฝูงหมาป่าชาวนัลจากเรื่อง ลูซิสโค่นพันธุ์อสูร แม้ละครจะสนุกแต่ไม่ว่าเรื่องใดก็เดาบทสรุปของเรื่องได้นั่นคือเทวีลูซิสตัวเอกของเรื่องจะเป็นผู้ชนะทุกครั้งไป และเมื่อการแสดงละครในแต่ละรอบจบลงมักจะได้ยินเสียงปรบมือโห่ร้องแบบเกินพอดีของผู้ชมอยู่เสมอ เพราะหลังจากนั้นจะเป็นการสำราญกับอาหารและเครื่องดื่มตลอดไปจนจบงานรื่นเริง โดยเหล่าเทพทุกองค์รู้สึกสนุกสนานและพร้อมใจกันมาร่วมงานนี้ในทุกๆปี ยกเว้นกลุ่มเดียวคือกลุ่มขององค์เทวีอาทรัมและ 7 เทพผู้ติดตาม ผู้ที่มักจะหลบไปพักหูที่ท้องฟ้าทิศใต้ด้วยนิสัยส่วนตัวที่ไม่ชอบทำตัวไร้สาระและคิดแต่สิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ การกระทำแบบนี้ทุกครั้งของเธอก่อให้เกิดปรากฏการณ์ที่ท้องฟ้าทิศใต้ของโลกมนุษย์ในช่วงนี้ของปีมีความมืดมิดมากที่สุด
หลายครั้งที่องค์เทวีลูซิสรู้สึกไม่พอใจที่น้องสาวองค์เทวีอาทรัมไม่มาร่วมงาน ด้วยใจที่คิดว่าน้องสาวต้องการแกล้งเธอไม่ให้รู้สึกสนุกไปกับงานรื่นเริง เธอจึงคิดแผนการขึ้นในงานปีหนึ่งโดยใช้อำนาจขององค์มหาเทวีสั่งให้ 7 เทพผู่รับใช้องค์เทวีอาทรัมต้องมาร่วมแสดงละคร เพื่อให้น้องสาวของเธอเดียวดายอยู่บนท้องฟ้าทิศใต้เพียงองค์เดียว องค์เทวีอาทรัมแม้จะไม่พอใจแต่ก็ไม่มีปัญหาอะไรกับการอยู่องค์เดียวจึงปล่อยเลยตามเลย ตราบจน งานชุมนุมแห่งสวรรค์ ของปีนั้นได้ดำเนินมาถึงช่วงสำคัญการแสดงละครเริ่มขึ้นแล้ว ละครของปีนี้มีชื่อว่า ลูซิสผนึก 7 ปิศาจ นำแสดงโดยองค์มหาเทวีผู้เอาแต่ใจอีกเช่นเคย แต่ครั้งนี้ได้รับเกียรติจาก 7 เทพผู้รับใช้องค์เทวีอาทรัมมาร่วมแสดงเป็นตัวร้ายในเรื่องด้วย จึงทำให้เหล่าเทพทั้งหมดต้องหยุดกิจกรรมที่ทำอยู่มาร่วมชมการแสดงละครครั้งพิเศษนี้ เนื้อเรื่องแม้จะอวยตัวเอกมาตั้งแต่ต้นแต่ก็ยังคงความสนุกตามแบบฉบับจินตาการขององค์มหาเทวีเช่นเคย จนมาถึงคราวที่ตัวร้ายทั้ง 7 ปรากฏตัวออกมาสิ่งที่น่าผิดหวังก็เกิดขึ้น 7 เทพคนสนิทของเทวีอาทรัมแสดงละครได้ค่อนข้างแย่ด้วยเหตุเพราะไม่เคยได้ฝึกซ้อมร่วมกับนักแสดงคนอื่นๆและมาร่วมด้วยการถูกบังคับ ทำให้ความสนุกของละครครั้งนี้เริ่มลดลงทันที จนเทวีลูซิสเกิดความไม่พอใจและเริ่มเล่นนอกบทโดยเอ่ยวาจาด้วยความโกรธเกรี้ยวว่า "จงกลายเป็นเดรัจฉานชั่วนิรันดร์" สิ้นประโยคจากปากขององค์มหาเทวี ร่างเทพทั้ง 7 ก็หายไปเหลือเพียงสัตว์ 7 ชนิดซึ่งประกอบด้วย แพะ หมู จิ้งจอก หมี มังกร งู สิงโต สัตว์ทั้งหมดยังคงอาการตื่นกลัวแต่ด้วยศรัทธาที่มีต่อองค์เทวีอาทรัม สัตว์ทั้ง 7 ได้สื่อถึงดวงจิตของนางจนองค์เทวีแห่งอาทรัมทราบถึงความเดือดร้อน จึงเดินทางมาช่วยด้วยความรู้สึกโกรธเกรี้ยว และนำพาความมืดมิดจากทิศใต้ตัดผ่านผืนฟ้ามายัง งานชุมนุมแห่งสวรรค์ ทันที ส่งผลให้มหรสพและข้าวปลาอาหารทั้งหมดมลายหายไปสิ้นหลงเหลือเพียงฝุ่นสีดำที่ปกคลุมไปทั่วท้องฟ้าทิศเหนือ องค์มหาเทวีเห็นดังนั้นด้วยไฟที่มันสุมอกอยู่แล้วจึงเกิดประทุขึ้นอีกครั้ง นางใช้พลังของนางผนึก 7 สัตว์เดรัจฉานลงยังร่างของน้องสาวพร้อมเอ่ยวาจา "จงติดอยู่ด้วยกันตราบเทพเจ้าคืนกลับเป็นทารก" สิ้นเสียงคำสาปครั้งที่ 2 ในวันนี้เทวีอาทรัมก็ลอยกลับสู่ท้องฟ้าทิศใต้ เป็นอันจบงานรื่นเริงของปีนี้และเป็นจุดเริ่มต้นเล็กๆ ของการปะทะระหว่างเทวีทั้ง 2 ตราบชั่วนิรันดร์
ตอนที่ 2
- ขึ้น 5 ค่ำ เดือนที่ 1 ปีมิตรศักราช ที่ 2 ราวๆ 2 เดือน หลังจากเมืองไอยราถูกปิดล้อม ณ ห้องโถงใหญ่ภายในปราสาทดำทะมึนกลางป่าแห่งหุบเขาน้ำแข็งวินโดเนีย ปรากฏร่างหนึ่งที่ดูภายนอกเหมือนเด็กผู้ชายวัยแรกรุ่นผมสีดำสนิทนั่งสง่าอยู่บนบัลลังก์ แต่สิ่งที่ทำให้เค้าคนนี้ดูแตกต่างจากมนุษย์ทั่วไปคือ ใบหูที่เรียวแหลมและดวงตาสีดำที่เมื่อมองลึกลงไปจะเห็นห้วงอวกาศอันกว้างใหญ่ ข้างกายของเด็กหนุ่มผู้นี้ คือ อดีตร่างทดลองแวมไพร์ 2 พี่น้อง ฮัลเซลด้าและเกรเทลล่า ที่ได้รับพลังและนามใหม่จากพรสีดำระหว่างขั้นตอนการจุติใหม่ของอดีตเทวีแห่งความมืด ทั้ง 2 กำลังจ้องมองอย่างสนใจไปยังกลุ่มครึ่งสัตว์ครึ่งปิศาจ 7 ตน ที่บัดนี้ทั้งหมดได้คุกเข่าอยู่ต่อหน้าเด็กหนุ่มผู้เป็นร่างอวตารของเทวีอาทรัม แล้วสัตว์ปิศาจทั้ง 7 ก็กล่าวขึ้นพร้อมกัน "ขอคารวะองค์เทวีอาทรัม" เด็กหนุ่มได้ยินดังนั้นจึงกล่าวตอบ "บัดนี้เราไม่ใช่เทพบนสรวงสวรรค์อีกแล้ว ยศเทวีไร้สาระนั่นเราก็ทิ้งมันไปตั้งแต่พวกเจ้าถูกผนึกรวมกับดวงจิตของเรา.. แต่บัดนี้ด้วยพลังแห่งบาปของพวกหุ่นปั้นของนังลูซิส (มนุษย์และอสุรา) เราจะกลับมาทวงหนี้แค้นที่นางได้ทำกับเราไว้ในฐานะของ ราชาปิศาจอาทรัม"
- ราชาปิศาจอาทรัม ได้มอบภารกิจสำคัญให้กับ 7 สัตว์ปิศาจ นั่นคือการปิดผนึกกำลังขององค์เทวีลูซิสและเหล่าเทพบนสวรรค์ที่อาจยื่นมือเข้ามาช่วยโลกเหมือนในครั้งอดีต โดยการยึดครองวิหารแห่งบาปทั้ง 7 ที่ถูกปล่อยร้างภายหลังการสิ้นสุดสงครามมนุษย์และซอเรี่ยน จุดยุทธศาสตร์เหล่านี้หรือก็คือวิหารลอยฟ้าที่ตั้งอยู่เหนือจุดตกของลำแสงสีดำต้นกำเนิดของสัตว์ปิศาจทั้ง 7 นั่นเอง เมื่อการมอบหมายภารกิจเสร็จสิ้น สัตว์ปิศาจทั้ง 7 ก็กล่าวอำลาราชาปิศาจและแยกย้ายไปทำหน้าที่ของตน กลัทโทนิอุส (ครึ่งหมูครึ่งปิศาจ) เข้ายึดวิหารแห่งบาปกูลา, ลัสทิอุส (ครึ่งแพะครึ่งปิศาจ) เข้ายึดวิหารแห่งบาปลุกซุเรีย, กรีดิสท์ (ครึ่งจิ้งจอกครึ่งปิศาจ) เข้ายึดวิหารแห่งบาปอวาริเทีย, สลอเทส (ครึ่งหมีครึ่งปิศาจ) เข้ายึดวิหารแห่งบาปอาซีเดีย, ราดิส (ครึ่งมังกรครึ่งปิศาจ) เข้ายึดวิหารแห่งบาปไอรา, เอนวี่ (ครึ่งงูครึ่งปิศาจ) เข้ายึดวิหารแห่งบาปอินวิเดีย, ไพรเดส (ครึ่งสิงโตครึ่งปิศาจ) เข้ายึดวิหารแห่งบาปซูเปอร์เบีย หลังจากที่เหล่าสัตว์ปิศาจได้แยกย้ายไปปฏิบัติภารกิจของแต่ละตนแล้ว ราชาปิศาจอาทรัม และ 2 แวมไพร์ผู้ติดตามก็เดินตรงไปยังกระจกบานใหญ่ตรงผนังห้องแล้วหายไปอย่างไร้ร่องรอย ไม่นานนักความมืดทั้ง 3 ก็มาปรากฏตัว ณ ห้องโถงกลางวิหารใหญ่ของเมืองไซสเกล ซึ่งบัดนี้ 5 ผู้เฒ่าแห่งอาณาจักรซอเรี่ยนและจันได้รออยู่แล้ว ทันทีที่ราชาปิศาจก้าวเดินออกมาจากกระจก มังกรเฒ่าทั้ง 5 ก็คุกเข้าลงทันที แม้จะไม่ค่อยยินดีนักที่ต้องก้มลงต่ำกว่าร่างทดลองทั้ง 2 ของพวกตน แต่ก็ไม่อาจทำกริยาจาบจ้วงต่อหน้าองค๋ราชาได้ ส่วนจันแม้ไม่เคยได้พบราชาปิศาจมาก่อนแต่ก็รับรู้ถึงระดับของมนตราที่สูงกว่าก็คุกเข่าลงเช่นกัน ไม่นานนักการประชุมแผนการสุดดำมืดก็เริ่มต้นขึ้นทันที ณ ห้องประชุมแห่งหนึ่งภายในวิหารใหญ่
- จันจอมขมังเวทชาวอสุรา ได้ทบทวนถึงแผนการที่ได้เริ่มไปแล้วก่อนหน้านี้ คือการเรียกเมฆฝนมนตราปกคลุมเหนือวังไอยราเพื่อทำการสลายข่ายมนตราที่ซ่อนห้องลับไว้ แล้วนำเรือเหาะขนกองทัพคร๊อกโคเดี้ยนเข้าล้อมเมืองหมายตัดกำลัง ตอนนี้ก็ได้เวลาที่ข่ายมนตราจะสลายไปทั้งหมดแล้วถึงเวลาที่จันจะดำเนินแผนการขั้นต่อไป ในระหว่างที่จันอธิบายถึงแผนการของตนสายตาก็คอยสอดส่องเก็บข้อมูลอยู่ตลอดเวลา ครั้งนี้แตกต่างจากครั้งก่อนที่เธอเคยมาเยือนที่นี่ ตลอดระยะเวลาที่เธออยู่ในเมืองแห่งนี้ไม่ได้เพียงวางแผนการให้กับชาวซอเรี่ยนเท่านั้น แต่เธอยังจดจำเทคนิคล้ำสมัยต่างๆจากที่นี่ติดไม้ติดมือไปด้วย หนึ่งในนั้นคือเสื้อที่เธอสวมอยู่ตอนนี้ มันสร้างขึ้นจากวัสดุประเภทเดียวกับฉนวนมนตราแต่เธอปรับแต่งให้มันปกป้องมนตราจากภายนอกแทน จันใช้มันทำหน้าที่ปกปิดความคิดไม่ให้ใครใช้มนตราอ่านได้ แต่เพื่อไม่ให้ใครสงสัยว่าเธอปิดกั้นความคิดไว้สร้อยที่เธอสวมอยู่จึงเป็นตัวที่ทำหน้าที่แต่งความคิดหลอกๆไว้อีกทีหนึ่ง เมื่อจบการอธิบายแผนการของเธอ 5 มังกรเฒ่าก็พลัดกันขึ้นมาอธิบายแผนการของตนเช่นกัน และนั่นก็เป็นจุดสำคัญที่ทำให้จันคาดเดาหน้าที่ของทุกตนได้นอกเหนือจากรูปลักษณ์ภายนอกที่ดูสมบูรณ์ขึ้นกว่าครั้งแรกที่เคยพบกันซึ่งเธอเพิ่งสังเกตไประหว่างที่เธออธิบายแผนการ
- มูเน่ มังกรหมอก เธอเป็นสตรีชาวซอเรี่ยนรูปร่างผอมสูง ที่คอของเธอฝังอัญมณีมุกดาหารสีขาวหมอกเอาไว้ เครื่องแต่งตัวที่ดูเยอะเป็นพิเศษและความเจ้าระเบียบของมูเน่ทำให้จันเดาว่าเธออาจเป็นคนที่มีอำนาจมากที่สุดใน 5 ผู้เฒ่า และคงหนีไม่พ้นตำแหน่งที่อยู่รองจากราชาปิศาจ
- ไซโมเฟน มังกรเงา รูปร่างสมส่วนที่สุดและเป็นบุคคลที่จันไม่สามารถระบุเพศได้ ที่ดวงตาของเค้าข้างหนึ่งถูกแทนที่ด้วยอัญมณีไพฑูรย์มองดูคล้ายดวงตาของแมว การแต่งกายของไซโมเฟนเน้นความคล่องตัว หลายครั้งที่จันรู้สึกว่าเค้าคนนี้ไม่ได้อยู่ในห้องประชุมแม้ร่างของเค้าจะนั่งอยู่ที่เก้าอี้ก็ตาม ...ไซโมเฟนไม่เอ่ยคำพูดใดใดเลยตลอดการประชุม
- เอ็มเมอร์ มังกรพิภพ บุรุษเพศชาวซอเรี่ยนตัวอ้วนฉุ ฝังอัญมณีมรกตสีเขียวสดไว้ตรงหน้าท้อง กลิ่นอาหารปะปนกันที่ลอยออกมาจากตัวชายผู้นี้ทำให้จันถึงกับต้องร่ายคาถาสร้างกลิ่นหอมป้องกันรอบตัวไว้ จันให้ความสนใจในตัวเอ็มเมอร์น้อยที่สุดจากทั้ง 5 เพราะชายที่ดูคล้ายพ่อครัวคนนี้คงไม่เป็นประโยชน์ต่อเธอ
- เซิร์ค มังกรทราย ชาวซอเรี่ยนเพศชายรูปร่างผอม เล็บจากทั้ง 20 นิ้วของเค้าเปล่งประกายแสงสีส้มเพราะถูกแทนที่ด้วยอัญมณีเพทาย ชุดยาวสีขาวและแว่นปะหลาดแบบล้ำสมัยที่เค้าสวมไว้ที่ตาข้างหนึ่งบ่งบอกตัวตนว่าชายผู้นี้น่าจะเป็นผู้นำทางเทคโนโลยีของอาณาจักรซอเรี่ยน และในการประชุมนี้เค้าได้เอ่ยถึงการปรับปรุงร่างทดลองคล๊อกโคเดี้ยนและดรากูน ที่จะถูกส่งไปกับเรือเหาะในแผนการรอบนี้ด้วย
- รูบิล่า มังกรสุริยะ ซอเรี่ยนชายรูปร่างกำยำ ฝังอัญมณีทับทิมไว้ตรงกลางหน้าผาก รอยแผลเป็นเก่าๆทั่วร่างบ่งบอกว่าชายผู้นี้น่าจะมีบทบาทสำคัญในสงครามใหญ่เมื่อครั้งอดีด
- ฮัลเซลด้าและเกรเทลล่า 2 แวมไพร์ที่เพิ่งได้รับการอัพเกรดพลังโดยตรงจากราชาปิศาจไปหมาดๆ กำลังรู้สึกหงุดหงิดกับสิ่งที่ตัวเองไม่ต้องการจะรับรู้ ที่จริงทั้งคู่ต้องสิ้นสุดภารกิจที่มีต่อชาวซอเรี่ยนไปแล้วแต่เพราะการกระหายในพลังระดับเทพเจ้าจึงทำพันธะสัญญากับราชาปิศาจจนไม่อาจปลีกตัวไปได้อีกตลอดกาล เมื่อการประชุมล่วงเลยสาระสำคัญมาสักระยะหนึ่งผู้นำกองทัพผีดิบทั้งสองจึงขอปลีกตัวไปทำภารกิจสำคัญบางอย่าง ที่เหมือนจะรู้กันแค่เพียงทั้งสองและราชาปิศาจอาทรัมเท่านั้น
ตอนที่ 3
- ขึ้น 3 ค่ำ เดือนที่ 1 ปีมิตรศักราช ที่ 2 ณ ห้องพักที่ดีที่สุดของโรงแรมในเมืองวินโดเนีย ที่ซึ่งการสนทนาระหว่าง 4 บุคคลสำคัญของศักราชแห่งมิตรภาพได้เริ่มต้นขึ้น ทั้งหมดมีจุดมุ่งหมายเดียวกันคือ หยุดยั้งเภทภัยแห่งความมืดที่ก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็วทั่วทั้งทวีปแองเจเลีย แม่หญิงยุพินแห่งเมืองท่ารายาบุรีเปิดฉากการสนทนาด้วยสิ่งที่เธอเพิ่งทำเสร็จไป นั่นคือการถายทอดวิชา ค่ายกลพิทักษ์โลกา 5 ทิศ แบบหมดเปลือกให้กับเหล่านักเวทอาสาเพื่อใช้ในการปกป้องบ้านเกิดของพวกเค้าจากการรุกรานของกองทัพผีดิบ ต่อจากนั้นเธอจึงเริ่มเล่าถึงนิมิตของเธอในช่วงเวลาแห่งการจุติใหม่ของเทวีแห่งความมืด นิมิตเริ่มต้นขึ้นที่ดวงแสงสีขาวกำลังผลักกลุ่มพลังงานสีดำมืดพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าแล้วแตกออกเป็นลำแสงสีดำ 7 เส้น เคลื่อนที่ข้ามขอบฟ้าไปตกยังจุดต่างๆทั่วโลก ยุพินมองเห็นสถานที่ในจุดตกแต่ละจุดอย่างชัดเจน คือ ถ้ำรายา ทะเลทรายกู๋เฟน วิหารท้าวจตุรกร ซากอารยธรรมออคเก่า ซึ่งสถานที่ทั้ง 4 นี้อยู่บนทวีปแองเจเลีย ส่วนอีก 3 สถานที่นั้นอยู่บนพื้นที่ที่แตกต่างออกไป นั่นคือ ป่าศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ในพื้นที่ปิดตายส่วนลึกสุดของแกรนด์ฟอเรส หุบเหวสีขาวในอาณาจักรซอเรี่ยน และทะเลคลั่งทางตะวันออกของทวีปน้ำแข็ง แก้วมณีเสนอให้แจ้งเกี่ยวกับ 4 จุดตกบนทวีปแองเจเลียกับเหล่าผู้กล้าเพื่อที่พวกเค้าจะได้เตรียมรับมือกับปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้ โจนาธานอาสาที่จะไปยังดินแดนออคเก่าเพื่อหาคำอธิบายเกี่ยวกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นด้วยความเก่าแก่ของสถานที่นั้นน่าจะช่วยเค้าได้ หากเกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้นชื่อเสียงของตระกูลมูนแฟงก์และตำแหน่งทูตสันถวไมตรีของแก้วมณีจะช่วยให้ขอกำลังจากวังเมทัลพาเลซได้ง่ายที่สุด ยุพินขอร่วมเดินทางไปกับทั้งสองเพราะนิมิตล่าสุดของเธอได้บอกถึงดวงจิตสีดำดวงใหญ่ 2 ดวง กำลังมุ่งตรงมายังทิศตะวันตกของทวีปแองเจเลีย เซรีนเลือกเส้นทางของเธอตามคำแนะนำของยุพิน นั่นคือการไปช่วยปกป้องสมบัติแห่งเทพที่ถูกเก็บรักษาเอาไว้ภายในเมืองไอยรา ในนิมิตของยุพินขณะแตะมือกับเซรีนบอกไว้ว่า เธอจะได้พบกับเพื่อนเก่าต่างเผ่าพันธุ์ขณะเดินทางไปกับกลุ่มผู้อพยพซึ่งเค้าจะเป็นกุญแจดอกสำคัญในการเปิดประตูสู่ป่าศักดิ์สิทธิ์ เมื่อต่างฝ่ายต่างได้ภารกิจของตนแล้ว ทั้ง 4 ก็เดินทางออกจากเมืองวินโดเนียในทันที
- ขึ้น 6 ค่ำ เดือนที่ 1 ปีมิตรศักราช ที่ 2 เมฆมนตรายังคงนำพาห่าฝนตกลงมายังพื้นที่เมืองไอยราอย่างต่อเนื่องไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ทุกตำแหน่งของคูเมืองมีน้ำเอ่อล้นล่อแหลมต่อการลอบเข้าโจมตีของทหารคร๊อกโคเดี้ยน จนถึงบัดนี้นับการบุกได้ไม่ตำกว่า 24 ครั้ง แม้ทุกครั้งทหารอสุราจะสามารถขับไล่ทหาคร๊อกโคเดี้ยนออกไปได้แต่ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับพลเมืองที่อพยพไม่ทันและตัวปราสาทก็ไม่ใช่ข่าวที่ดีนัก คำสั่งสละเมืองจากกษัตริย์องค์ที่ 11 แห่งราชวงศ์ไอยรา ราชากวิน ได้ถูกถ่ายทอดไปยังหน่วยต่างๆภายในไม่กี่ชั่วโมงภายหลังการปะทะรอบล่าสุด ทหารถูกแบ่งเป็นสองหน่วยใหญ่ๆ ซึ่งราชากวินและครูมวยทิดนำทหารหน่วยหนึ่งเคลื่อนที่ไปยังพื้นที่หวงห้ามที่ซึ่งห้องลับถูกซ่อนไว้ ภายในห้องลับมีสิ่งสำคัญบางอย่างถูกเก็บรักษาไว้ตั้งแต่ต้นบรรพชนของราชวงศ์วงไอยรา และตอนนี้ราชากวินก็พร้อมที่จะสละชีวิตซ่อนความลับนี้ไว้ดั่งเช่นอดีตกษัตริย์องค์ก่อนๆเคยทำมา เมื่อกลุ่มคนผู้เสียสละเข้ามายังห้องลับทั้งหมดแล้ว ทิดก็ทำการปิดตายพื้นที่สำคัญแห่งนี้ด้วยพลังหมัดของเค้าทันที อีกฝากหนึ่งบริเวณหน้าผาด้านหลังพระราชวัง กองทหารหน่วยที่สองกำลังทำหน้าที่คุ้มครองประชาชนกลุ่มสุดท้ายในภารกิจอพยพ จุดหมายของพวกเค้าคือเดินทางไปยังเมืองจินโจวที่ตั้งอยู่ในหุบเขาทางเหนือของทะเลทรายใหญ่กลางทวีป เมืองแห่งนี้อาจปกป้องชาวอสุราไ้วได้ตามคำทำนายของแม่หญิงยุพินที่ได้ให้ไว้แก่ราชากวิน ใจความว่า "ยามที่เส้นทางแห่งเม็ดทรายสิ้นสุด ภูผาอันพิสุทธิ์จะเปิดรับผู้ลี้ภัย" เธอได้ใช้พลังแห่งการพยากรณ์แปลงนิมิตออกมาเป็นคำใบ้ก่อนที่เธอจะออกเดินทางไปช่วยชาวเมืองวินโดเนีย
ทะเลทรายใหญ่ซึ่งกินพื้นที่กว่าหนึ่งในสามของดินแดนอสุรา นามทะเลทรายกู๋เฟน ฝุ่นทรายของพื้นที่แห่งนี้มีส่วนประกอบสำคัญอย่างหนึ่งที่ทำให้มันดูแตกต่างจากทะเลทรายทั่วไป มันคือละอองของเศษกระดูกที่ถูกป่นจนละเอียดด้วยฝีมือของแมลงชนิดหนึ่งที่ทำรังอยู่ภายใต้ผืนทรายมาตั้งแต่ยุคกำเนิดโลก แมลงชนิดนี้หรือที่เรียกว่าปลวกกู๋เฟนถูกพบครั้งแรกโดยคณะเดินทางชาวอสุรากลุ่มหนึ่งที่กำลังเดินทางเสาะหาทำเลที่ตั้งรกรากใหม่ ในรุ่งเช้าก่อนที่พวกเค้าจะเดินทางพ้นเขตทะเลทราย ชายคนหนึ่งสังเกตเห็นว่าเศษกระดูกสัตว์จากอาหารเมื่อคืนที่เค้าทิ้งไว้ภายในที่พักหายไปและปรากฏเพียงละอองของมันกระจายอยู่ เค้าจึงขอให้ทั้งกลุ่มพักกลางทะเลทรายอีกคืนหนึ่งและในรุ่งเช้าของอีกวันเค้าก็จับพวกมันได้ 5 ตัว ขนาดของมันโตพอๆกับข้อนิ้วมือ ลำตัวเป็นปล้องๆและผิวภายนอกเป็นเปลือกแข็ง มีเขี้ยวขนาดใหญ่คู่หนึ่งยื่นออกมาจากปากดูน่ากลัวแต่พวกมันไม่ได้ทำอันตรายผู้หยิบมันขึ้นมาดูเลย เค้าจึงลองเลี้ยงแมลงชนิดนี้ไว้ดูเล่นตลอดการเดินทาง จนกระทั่งวันหนึ่งชายผู้ดูแลแมลงได้รับบาดเจ็บจากการต่อสู้กับฝูงลิงป่าเจ้าถิ่นภายในหุบเขาวานร เค้าถูกนำร่างที่เต็มไปด้วยบาดแผลฉกรรจ์กลับมารักษาตัวที่ค่ายชั่วคราว ชาวอสุราถึงแม้จะแข็งแกร่งแต่บาดแผลที่ลึกจนถึงกระดูกก็ทำให้เค้าเจ็บจนอ่อนแรงและสลบไป กลางดึกคืนนั้นเค้าตื่นขึ้นมาคำรามลั่นด้วยอาการปวดแขนข้างที่บาดเจ็บสาหัส มันปวดเหมือนกระดูกกำลังโดนกร่อน เมื่อเขามองไปยังจุดที่ปวดก็พบว่าผ้าพันแผลถูกฉีกออกและมีแมลงเปลือกแข็งที่เค้าเลี้ยงไว้ 3 ตัวเกาะอยู่ภายนอกและมีตัวนึงกำลังไชแผลของเค้าอยู่ ด้วยอาการตกใจเค้าใช้มืออีกข้างหนึ่งปัดพวกมันและดึงตัวที่กำลังไชแผลเค้าอยู่ออกทันที แต่อาการปวดกระดูกไม่ได้หายไปมันกลับยิ่งเจ็บมากขึ้นเรื่อยๆ ตลอดวินาทีของเสียงคำรามด้วยความทรมานแขนของเค้าค่อยๆฟีบลงเหมือนโดนเลาะกระดูก แต่ก่อนที่สิ่งหนึ่งภายในแขนจะเคลื่อนที่ขึ้นไปเกือบถึงหัวไหล่ เค้าก็ตัดสินใจหยิบดาบที่อยู่ข้างกายฟันมันลงที่แขนท่อนบนทันที เมื่อสิ้นเสียงคมดาบกระทบกระดูก หัวของแมลงร้ายตัวที่หายไปและแขนของเค้าก็ร่วงลงสู่พื้น ก่อนที่ชายผู้นี้จะสลบไปอีกครั้งเพื่อนๆก็เข้ามาพอดี เมื่อเห็นท่อนแขนและผงกระดูกที่ถูกป่นกระจายปนอยู่กับเลือดบนพื้นห้องก็เดาสถานการณ์ได้ทันที พวกเค้าจึงฆ่าแมลงเปลือกแข็งที่เหลือนั้นทั้งหมดและยื้อชีวิตชายผู้โชคร้ายไว้ได้ทัน นับตั้งแต่นั้นมาแมลงป่นกระดูกจึงถูกบันทึกไว้ในชื่อของปลวกกู๋เฟนหนึ่งในแมลงอันตรายของดินแดนอสุรา
บทที่ 13
ตอนที่ 1
- หลังจากการบุกอย่างต่อเนื่องของกองทัพคล้อกโคเดียนจนสามารถทำลายเมืองไอยราลงได้โดยใช้เวลาไม่นานนัก กองกำลังของฝั่งมนุษย์ที่เพิ่งมาถึงได้แทรกซึมเข้าไปยังส่วนในสุดของวังไอยรา ทำให้รับรู้ถึงข้อมูลการอพยพของชาวเมืองและได้ส่งกำลังไปยังเมืองจินโจวซึ่งเป็นจุดหมายของกลุ่มอพยพทันที ในขณะนั้นที่กลุ่มอสุราที่กำลังอยู่ในระหว่างการสืบหาร่องรอยของจันท์ ได้ถูกเบาะแสชักนำมายังทะเลทรายกูเฟนและได้พบเข้ากับซากศพของเอลฟ์ ข้อมูลที่ได้จากการสำรวจร่างไร้ชีวิตกำลังพา กลุ่มของพวกเค้าเข้าสู้ป่าเอลฟ์ชั้นนอก
- ทันทีที่กองกำลังมนุษย์ไปถึงเมืองจินโจว ก็ได้พบกับกลุ่มอพยพของชาวเมืองไอยรา ยกเว้นกลุ่มของกษัตริย์ที่มีครูทิดทำหน้าที่อารักขา และระหว่างที่เหล่าผู้กล้า กำลังเดินสำรวจภายในเมืองจินโจว ก็ได้พบเข้ากับ เซรีน ซึ่งเซรีนได้เล่าย้อนเหตุการณ์ก่อนหน้านั้น ว่าในขณะที่กำลังปกป้องสมบัติแห่งเทพ ซึงสมบัติที่ว่านั้นคือ หน้าหนึ่งของบันทึกที่ชาวอสุราเชื่อว่าเป็นของเทพผู้สร้างโลก ถึงแม้ว่าเซรีนจะไม่รู้ความสำคัญของสมบัติชิ้นนี้ แต่สุดท้ายแล้วเธอก็เลือกที่จะปกป้องมันจากเงื้อมมือของจันท์และทำให้จันท์ชิงมันไปได้เพียงครึ่งแผ่นเท่านั้น
ตอนที่ 2
- เหล่าผู้กล้า ได้คุยกับ เซรีน แล้วเอาโน้ตที่ กวิน ทิ้งเอาไว้ให้ เซรีน ดู. เซรีนลองตรวจสอบข้อความและสังเกตเห็นบางอย่างที่ซ่อนอยู่ เธอใช้ความสามารถของเธอถอดรหัสออกมาได้โดยไม่ยากเย็น ข้อความที่ซ่อนอยู่บอกถึงถ้ำบริเวณป่าชายเลนกรายาบุรีมากนัก ซึ่งเซรีนคาดการณ์ไว้ว่า กวินน่าจะเดินทางไปที่นี่ หลังจากนั้นเหล่าผู้กล้าก็ได้ออกเดินทางทันที แต่เซรีนเธอเลือกที่จะปลีกตัวออกไป
- ในขณะเดียวกันอีกด้านหนึ่ง กลุ่มอสุราที่มาถึงป่าเอลฟ์ชั้นนอก ก็ได้พบเข้ากับกลุ่มทหารซอเรี่ยนและเกิดการปะทะกันขึ้น การต่อสู้ที่ยาวนานบ่งบอกถึงฝีมือของทหารกลุ่มนี้ แต่การต่อสู้ก็จบลงที่อสุราเป็นฝ่ายชนะและชิงข้อมูลสำคัญมาได้ นอกจากนี้การพบทหารซอเรี่ยนในพื้นที่ที่ต้องผ่านทะเลทรายเป็นไปไม่ได้เลยที่จะไม่มีจอมขมังเวทจันท์มาเกี่ยวข้อง หลังจากนั้นไม่นานนักกลุ่มอสุราก็ได้พบกับโยฮาน
- โยฮาน ได้อธิบายถึงแผนการของซอเรี่ยน และจันท์ ให้ฟัง เมื่อกลุ่มอสุราถามว่า ไปเอาข้อมูลนี้มาจากไหน โยฮาน เลยบอกว่า เพื่อนของข้า เซรีน เป็นคนเล่นให้ฟัง และได้บอกว่า ถ้าอยากรู้มากกว่านี้ ให้ลองไปสำรวจถ้ำที่อยู่ในเขตป่าชายเลน หลังจากที่กลุ่มอสุราได้ทราบเรื่องสถานที่ที่จะต้องไป กลุ่มอสุราจึงตัดสินใจกลับไปปรึกษากันที่หมู่บ้านบางกระท่อมก่อน เพราะกลัวว่าอาจเป็นกับดักที่จันท์วางเอาไว้
- ทันทีที่มนุษย์มาถึงยังปากถ้ำพวกเขาไม่พบกับทหารซอเรี่ยนตามที่คาดการณ์ไว้แต่กลับเจอกับฝูงคล้อกโคเดี่ยนแทน ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นยามเฝ้าประตู ทันทีที่มนุษย์กำจัดทหารยามเสร็จ ก็ได้พบกับเส้นทางที่พาลงไปยังสิ่งปลูกสร้างที่อยู่ใต้ดิน สถานที่นี้ดูคล้ายกับศูนย์ทดลองวิทยาศาสตร์ที่ยากจะเข้าใจได้และภายในยังพบกับข้อมูลการทดลองบางอย่างกับร่างสัตว์นานาชนิด
- หลังจากเดินสำรวจมาได้ซักพัก กลุ่มมนุษย์จึงได้รับรู้ถึงความเจริญด้านเทคโนโลยีและความรู้ของชาวซอเรี่ยน ถัดมาที่ส่วนในสุดของห้องโถง พวกเขาได้พบกับโต๊ะขนาดใหญ่ที่มีแผนที่ฝั่งตะวันออกของแองเจเลียกางอยู่พร้อมกับเครื่องมือที่ใช้วางแผนการรบที่กระจายอยู่ตามจุดต่างๆของแผนที่ ซึ่งจุดหนึ่งบ่งบอกถึงเส้นทางการเดินทัพด้วยเรือเหาะเข้ามายังเขตเมืองไอยรา เมื่อกลุ่มมนุษย์เดินลึกเข้าไปอีกก็ได้พบเข้ากับกวิน ครูทิดและดรากูน ดูเหมือนว่าการพบเจอกับดรากูนอีกครั้งทำพวกเค้าเข้าใจได้ทันทีว่านี่คือหนึ่งในร่างทดลองของชาวซอเรี่ยน แต่ก่อนที่การต่อสู้จะเริ่มขึ้น เซรีนและกลุ่มอสุราก็ตามมาถึง ทั้ง 3 กลุ่มร่วมมือกันสังหารดรากูนลงได้อีกครั้ง
ตอนที่ 3
- เซรีน บอกกับกลุ่มผู้กล้า ว่าพวกพ้อง ( 4 บุคคลสำคัญ ) กำลังอยู่ที่เมืองเมทัลลิก้า เลยมีแผนการว่าให้ ไปรวมตัวกันที่นั้น กลุ่มผู้กล้า เลยตกลง และได้ทำการเดินทางไปยังเมือง เมทัลลิก้า ในทันที ส่วน กวิน ทิดและกลุ่มของอสุราได้ออกเดินทางต่อไปยังหมู่บ้านรายาบุรีเพื่อประชุมหาข้อสรุปจากข้อมูลที่ได้รับมา ส่วนเซรีนได้ขอให้เหล่าผู้กล้าออกเดินทางไปพร้อมกับตน เพื่อไปสมทบกับกลุ่มของโจนาธานที่เมืองเมทัลลิกาน่า
- เมื่อเซรีนและกลุ่มผู้กล้ามาถึงเมืองเรดคลิฟ ก็ได้พบกับกลุ่มของโจนาธานที่เดินทางกลับมาจากเมทัลลิกานาพอดี ทั้งหมดเลือกที่จะพักนอกเมืองเลยตัดสินใจที่จะเข้าไปในป่าที่อยู่ไม่ไกลจากเรดคลิฟมากนัก ในขณะที่ข้อมูลสำคัญถูกส่งต่อระหว่างการเดินทางในป่า โจนาธานสังเกตเห็นปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นบนท้องฟ้า และดูเหมือนยุพินกำลังกังวลกับอะไรบางอย่าง
- ในขณะที่กำลังพูดคุยกันนั้นเอง ยุพินก็ได้มองเห็นเงาคนคู่หนึ่งบนท้องฟ้า นั่นดูหมือนแวมไพร์ตามคำบอกเล่าของคนในเมืองวินโดเนีย ทิศทางการบินชี้ไปยังส่วนที่ลึกที่สุดในป่าซึ่งอยู่ติดกับชายป่าเอลฟ์ตะวันตก(แกรนด์ฟอเรส) ทั้งหมดตัดสินใจที่จะไล่ตามไป แล้วการติดตามก็ได้มาหยุดลงที่ปราสาทเก่าแก่หลังหนึ่ง
- การประชุมกันที่เมืองรายาบุรี กวิน ได้บอกถึง บันทึกที่จันท์ชิงไปได้และการเคลี่อนไหวของกองทัพซอเรี่ยน และดูเหมือนว่าทางกลุ่มอสุราทราบข้อมูลดีอยู่แล้ว ทั้งหมดจึงออกเดินทางภายใต้คำสั่ง ของ กวิน โดยทันที
บทที่ 14
ตอนที่ 1
- กลุ่มผู้กล้าตัดสินใจเดินเข้าไปสำรวจภายในปราสาท มันดูเก่าแก่และมืดมิด ไร้ซึ่งแสงสว่างจากดวงอาทิตย์ ยุพิน เห็นนิมิตที่แสดงถึงปิศาจตามส่วนต่างๆของพื้นที่ด้านในและเมื่อเธอมองเห็นปิศาจระดับสูงที่คอยเฝ้าอยู่หน้าประตูของห้องขนาดใหญ่ซึ่งหลังประตูปรากฏพลังงานความมืด 3 ดวง จึงบอกให้ทุกคนฝ่าเข้าไปให้ถึงห้องด้านในเพื่อพิสูจน์นิมิตของเธอ การฝ่าฟันของกลุ่มมนุษย์ที่นำโดยโจนาธานใช้เวลาไปพอสมควร แต่ทั้งหมดก็มาถึงจุดสุดท้ายของนิมิตแล้ว
- ไม่รอช้ากลุ่มผู้กล้าก็ได้เปิดประตูและได้พบเข้ากับเจ้าของพลังงานความมืดทั้ง 3 ดวง เป็นเด็กหนุ่มและแวมไพร์ 2 ตน ยุพินเข้าใจได้ทันทีว่าเด็กหนุ่มคนนี้คือร่างจุติของเทวีอาทรัม แก้วมณีมีคำถามบางอย่างเกี่ยวกับตัวตนของเทวีอาทรัม แต่ก่อนที่เธอจะได้เอ่ยปาก แวมไพร์ 2 ตน ก็ได้พุ่งเข้าโจมตีกลุ่มผู้กล้าอย่างกระทันหัน
- กลุ่มอสุราเดินทางไปยังวิหารท้าวจตุรกร ซึ่งน่าจะเป็นสถานที่ที่จันท์กำลังดำเนินแผนการบางอย่าง ตามข้อมูลจากหลักฐานที่เก็บได้ในห้องทดลองนั้น เมื่อเริ่มเดินเข้าสู่ตัววิหารกลุ่มอสุราเลือกที่จะเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้น เพราะนี่อาจเป็นกับดัก ที่จันท์ วางแผนเอาไว้ก็เป็นได้ ในที่สุดทั้งหมดก็เดินทางมาถึงโถงใหญ่และได้พบเข้ากับดรากูนอีกครั้ง พวกเขาพบกับร่างทดลองนี้เป็นครั้งที่ 3 แล้ว แต่ก็กำจัดมันลงได้อีกครั้งอย่างไม่ยากเย็น และเดินสำรวจต่อไปไม่นานนักในที่สุดทั้งหมดก็พบกับ จันท์ พร้อมกองทหารซอเรี่ยนมากมาย
ตอนที่ 2
- แวมไพร์นั้น ดูเหมือนว่าจะแข็งแกร่งมาก เพราะ เหล่าผู้กล้า ไม่สามารถที่จะทำให้แวมไพร์บาดเจ็บได้เลย. และระหว่างการปะทะกันนั้นตัวเด็กหนุ่มเองก็ยังแค่ยืนชมเฉยๆเท่านั้น อาทรัมในร่างเด็กหนุ่มได้ลองอ่านใจสมาชิกทุกคนในกลุ่มมนุษย์ และในขณะที่กำลังอ่านใจของเซรีนนั้นเอง ก็ได้พบเข้ากับเนื้อหาส่วนหนึ่งของบันทึก ที่จันท์ ต้องการ เมื่อเก็บรายละเอียดเนื่อหาครบ อาทรัมจึงออกคำสั่งให้แวมไพร์ทั้ง 2 ยุติการต่อสู้ แล้วแวมไพร์ทั้ง 2 ก็บินหายไปในความมืดทันที แต่ก่อนที่อาทรัมจะหายตัวไป นิมิตของยุพินก็เกิดขึ้นอีกครั้ง ภาพนิมิตเล่าถึงพื้นที่ในป่าเขตร้อนติดแนวกำแพงแบ่งแยกทวีปแองเจเลีย อาทรัมสังเกตเห็นท่าทางของยุพิน เขาเพียงยิ้มมุมปากเล็กน้อยและหายตัวไป
- ทางด้านกลุ่มอสุราที่อยู่ภายในวิหารท้าวจตุรกร ทันทีที่ จันท์ ได้เห็นกลุ่มอสุรา เธอตกใจปนทึ่งที่แผนของเธอถูกอ่านออก จึงได้สั่งให้ทหารซอเรี่ยนเข้าโจมตีกลุ่มอสุราในทันที แต่ก่อนที่การชุลมุนนั้นจบลง จันท์ ได้เข้าวาร์ปที่อยู่ด้านหลังและหนีไปเสียแล้ว บางส่วนกลุ่มอสุราที่สังเกตเห็นก็ได้ตามเข้าวาร์ปติดตาม จันท์ ไปในทันที
- กลับมาทางด้านกลุ่มผู้กล้า กับ 4 บุคคลสำคัญ ได้ตกลงที่จะไล่ตามอาทรัมต่อตามนิมิตของยุพิน ในระหว่างการเดินทางไปยังเขตอสุรา ก็ได้สัมผัสถึงพลังภายใน วิหารท้าวจตุรกร เมื่อเข้ามาข้างใน ก็ได้พบกับศพของเหล่าทหารซอเรี่ยน แก้วมณีกับเซรีนตรวจสอบศพเหล่านั้นจึงรู้ว่าเป็นฝีมือของกลุ่มอสุราและด้านในยังพบประตูวาร์ปที่กำลังจะหมดพลัง ซึ่งเซรีนบอกว่าอสุรานั้นไล่ตามจันท์อยู่ ซึ่งถ้าพวกเราหาจันท์เจอก็น่าจะเจออาทรัม ทั้งหมดไม่รอช้าตัดสินใจเข้าประตูวาปตามกลุ่มผู้ใช้ประตูก่อนหน้านี้ไปในทันที
ตอนที่ 3
- การไล่ล่าตามหาตัว จันท์ มาถึงตอนที่กลุ่มอสุรากำลังเตรียมพร้อมที่จะต่อสู้กับ จันท์และกองกำลังซอเรี่ยนกลุ่มหนึ่ง เมื่อทั้ง 2 กลุ่มกำลังจะปะทะกัน 2 แวมไพร์กับอาทรัมก็ปรากฏตัวขึ้น แต่ก่อนที่การสนทนาบางอย่างระหว่างอาทรัมและจันท์จะเริ่มขึ้น กลุ่มมนุษย์ที่นำโดยบุคคลสำคัญทั้ง 4 ก็ตามมาถึงพอดี การต่อสู้เพื่อหยุดการรวมกันของแผนการระหว่างซอเรี่ยนและจันท์เริ่มขึ้นทันที มนุษย์บุกเข้าไปเพื่อเข้าให้ถึงตัวอาทรัมและจันท์แต่ทว่าถูกสกัดกั้นไว้โดยพวกแวมไพร์ อสุราจะเข้าไปช่วยแต่ก็ถูกหยุดเอาไว้โดยกองทหารระดับสูงของชาวซอเรี่ยน
- ไหวพริบของเซรีนทำให้เธอตัดสินใจใช้เวทโจมตีพุ่งไประหว่างจุดที่อาทรัมและจันท์ยืนอยู่ ส่งผลให้ 4 บุคคลสำคัญ ฝ่าเข้าไปประชิดถึงตัวอาทรัมได้และตามไล่ล่ากันเข้ายังพื้นที่ด้านในของป่าลึก ส่วนจันท์ถูกแยกออกมายังกลุ่มทหารซอเรี่ยน ดูเหมือนเธอจะหัวเสียที่ต้องมาคุมกองทหารซอเรี่ยนที่กำลังตะลุมบอนอยู่กับกลุ่มอสุรา
- หลังจากการต่อสู้อันยาวนาน กลุ่มซอเรี่ยนดูเหมือนกำลังจะพ่ายแพ้ให้กับกลุ่มอสุรา ด้วยเหตุผลบางอย่างจันท์ตัดสินใจยอมจำนน ส่งผลให้แวมไพร์ทั้ง 2 หยุดการต่อสู้และหลบหนีหายไป กลุ่มผู้กล้าทั้ง 2 เผ่าตัดสินใจตาม 4 บุคคลสำคัญไป โดยทิ้งกองกำลังส่วนหนึ่งไว้เพื่อนำตัว จันท์ กลับไปหมู่บ้านรายาบุรีเพื่อรับโทษ
ข้อคิดเห็น
0 ข้อคิดเห็น
โปรด ลงชื่อเข้าใช้ เพื่อแสดงข้อคิดเห็น